Posted on

9 เคล็ดลับ แก้ปัญหากลิ่นตัวแรง วีธีการง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

คุณเชื่อหรือไม่ มนุษย์ทุกคนจะมีกลิ่นตัวโดยธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นกลิ่นจางๆ แต่เมื่อมีสิ่งกระตุ้นบางอย่างทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย จากกลิ่นจางๆ ก็จะกลายเป็นกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัย หรือที่เราเรียกว่า “กลิ่นตัว” 

ก่อนเราจะไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้มีกลิ่นตัวแรง เรามาทำความรู้จักต้นตอของการผลิตเหงื่อกันก่อน ซึ่งต่อมผลิตเหงื่อของมนุษย์เรามีอยู่ 2 ชนิด คือ 

  1. ต่อมเหงื่อ” หรือที่เรียกว่า “ต่อมเอกไครน์” (Eccrine Gland) เป็นต่อมเหงื่อขนาดเล็กที่มีมากที่สุดในร่างกายและอยู่กระจายใต้ผิวหนังทั่วร่างกายของเรา มักจะอยู่หนาแน่นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และหน้าผาก ซึ่งต่อมเหงื่อนี้มีหน้าที่ผลิตเหงื่อเพื่อระบายความร้อนจากภายในร่างกาย ดังนั้นต่อมเหงื่อชนิดนี้จะหลั่งเหงื่อออกมาเมื่อร่างกายอยู่ในที่ที่มีความร้อนหรือเมื่อเราออกกำลังกาย เพื่อควบคุมไม่ให้ความร้อนในร่างกายนั้นสูงเกินไป โดยในเหงื่อจะมีน้ำและเกลือเป็นส่วนประกอบหลัก และจะระเหยเมื่ออุณหภูมิในร่างกายเย็นตัวลง
  2. ต่อมอะโพไครน์” (Apocrine Gland) เป็นต่อมเหงื่อชนิดที่มักอยู่บริเวณรักแร้ ขาหนีบต่างๆ และอาจพบที่หลังหูหรือซอกคอได้บ้าง นิยมเรียกว่า “ต่อมกลิ่น” จะมีขนาดใหญ่กว่าต่อมเหงื่อ (Eccrine) ทำให้สารที่ผลิตออกมาจากต่อม Apocrine แม้ว่าจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่เมื่อผสมกับแบคทีเรียต่างๆบนผิวหนังบริเวณรักแร้หรือบริเวณอับชื้นก็ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ หรือจากที่เรากินอาหารรสจัดหรือมีกลิ่นฉุน ก็จะทำให้ต่อม Apocrine ขับกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัยออกมาจากต่อมนี้ได้เช่นกัน สำหรับ “ต่อมกลิ่น” สามารถพบได้ตั้งแต่เกิด แต่จะเริ่มทำงานในช่วงวัยรุ่น และมีหน้าที่ในมนุษย์คือการสร้างกลิ่นซึ่งเป็นลักษณะทางเพศแบบหนึ่งนั่นเอง

กลิ่นตัวแรง หรือ กลิ่นตัวเหม็น เกิดจากสาเหตุอะไรใดบ้าง

  • ความร้อนและความชื้นของอากาศ ส่งผลให้ร่างกายผลิตเหงื่อออกมาเป็นจำนวนเยอะ จนเกิดการอับชื้นตามร่างกายและเสื้อผ้า  ส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์แก่ตนเองและคนรอบข้าง
  • สารที่ผลิตออกมาจากต่อมอะโพไครน์ (Apocrine) เมื่อผสมกับแบคทีเรียประจำถิ่นที่อยู่ตามผิวหนัง รักแร้ ข้อพับหรือบริเวณที่อับชื้นง่ายของร่างกาย ก็ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
  • ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงกระตุ้นต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อมากเกินไป โดยเฉพาะเพศชายในช่วงเข้าสู่วัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะมีเหงื่อออกมากและทำให้เกิดกลิ่นตัวได้มากกว่าเพศหญิง
  • การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารรสจัดหรือมีกลิ่นฉุนบ่อยๆ หรืออาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เมื่ออาหารผ่านการย่อยจะเกิดแก๊สซัลเฟอร์ปนอยู่กับออกซิเจนในเลือดที่ไปอยู่ตามรูขุมขน ทำให้กลิ่นฉุนของอาหารเหล่านี้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อบริเวณใต้วงแขนที่มีแบคทีเรียประจำถิ่นอาศัยอยู่ จึงทำให้เกิดการอับชื้นสะสมจนเกิดเป็นกลิ่นตัวแรง
  • โรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือความเครียด ก็ส่งผลกระทบกับการกลิ่นตัวได้เช่นกัน ถ้าหากคุณมีกลิ่นตัวแรงที่มีกลิ่นคล้ายผลไม้จะเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน กลิ่นคล้ายสารฟอกขาวอาจเป็นสัญญาณของโรคตับหรือโรคไต เป็นต้น
  • สำหรับโรคอ้วน คนอ้วนมักมีกลิ่นตัวแรงกว่าคนที่ผอมกว่า เพราะคนอ้วนมีโอกาสที่อวัยวะภายนอกมีส่วนอับชื้น สร้างกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตามรักแร้ ชั้นพุง ขาหนีบ มากกว่าคนผอม และต่อมเหงื่อยังผลิตเหงื่อมากกว่าคนที่ผอมอีกด้วย
  • ความเครียด เหงื่อที่ออกจากความเครียดจะมีกลิ่นที่รุนแรงกว่าเหงื่อที่ออกตามปกติ ต่อมเหงื่อชนิดนี้เรียกว่า ต่อมอะโพไครน์ (Apocrine glands) หรือ “ต่อมกลิ่น”ของเหลวจากต่อมนี้มีน้ำน้อยกว่า แต่ดึงดูดแบคทีเรียได้สูงกว่า จึงทำให้เกิดกลิ่นได้มากกว่า
  • การใช้ยารักษาภาวะซึมเศร้า ภาวะร่างกายหลั่งเหงื่อมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) หรือการใช้ยาบางชนิด ตัวอย่างเช่น มอร์ฟีน หรือยาลดไข้ ที่สามารถทำให้เหงื่อออกจนเกิดกลิ่นตัวขึ้นได้ เพราะถึงแม้ยาสามารถรักษาโรคได้แต่ก็สามารถทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วยเช่นกัน

วิธีลดและป้องกันการมีกลิ่นตัว

  1. รักษาสุขอนามัยให้ร่างกายสะอาดอยู่เสมอ อาบน้ำอย่างถูกต้องให้สะอาดครบทุกซอกทุกมุม เน้นล้างทำความสะอาดบริเวณรักแร้ ขาหนีบ จะช่วยลดปริมาณสารก่อกลิ่นที่หลั่งจากต่อมกลิ่นได้
  2. การโกนขนบริเวณรักแร้และทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันแบคทีเรียและการสะสมของสารก่อกลิ่น
  3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่ฆ่าเชื้อเพื่อช่วยลดปริมาณแบคทีเรียบนผิวหนัง แต่ไม่ควรใช้บ่อยเพราะอาจทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ 
  4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย โดยผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อส่วนใหญ่จะช่วยยับยั้งไม่ให้ต่อมเหงื่อบนผิวหนังทำงานชั่วคราว ทำให้เหงื่อไม่ไหลผ่านผิวหนังออกมา ส่วนผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจะเน้นการกำจัดกลิ่นเหงื่อ โดยเน้นการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและปรับสภาพเหงื่อไม่ให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย 
  5. การเลือกใช้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวผสมน้ำหอมที่มีเนื้อบางเบาหลังการทำความสะอาดร่างกายอย่างถูกวิธี ถือเป็นวิธีที่ดีในการเบี่ยงเบนกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นอกจากครีมบำรุงผิวจะช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวของเราแล้ว กลิ่นหอมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ จะทำหน้าที่กระจายความหอมที่ยังคงติดอยู่บนผิวหนังอย่างยาวนาน ช่วยเสริมความมั่นใจเรื่องกลิ่นกายหอม ปราศจากปัญหากวนใจเรื่องกลิ่นตัว
  6. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่ร้อนจัด อบอับชื้น หรืออากาศไม่ถ่ายเท 
  7. ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดการอับชื้นและความร้อนของร่างกาย ช่วยลดการผลิตเหงื่อและชะลอการเติบโตของแบคทีเรีย
  8. ควรซักเสื้อผ้าที่ใช้แล้วเป็นประจำ เพราะหากทิ้งไว้นานหรือซักไม่สะอาด มักจะเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรีย ทำให้เกิดการสะสมของเหงื่อและแหล่งแบคทีเรียอยู่ในเนื้อผ้า เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายเกิดการสะสมของแบคทีเรียมากขึ้น เมื่อร่างกายมีเหงื่อจะทำให้ส่งกลิ่นตัวได้ง่ายมาก 
  9. ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดหรืออาหารที่มีกลิ่นฉุน เช่น หัวหอม กระเทียม จะทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาได้ง่าย นอกจากจะมีกลิ่นกายแรงแล้ว ปัญหาเรื่องกลิ่นปากอาจตามมาได้ จึงควรหันมารับประทานผักใบเขียวหรือผลไม้เป็นประจำแทน

แนะนำผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวจาก BABBYWING

Babbywing Extra Moisturising Body Cream ขนาด 200 ml ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนสำหรับผิววัยแรกรุ่น (Pre-teen) ที่ร่างกายเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนที่เป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวที่ไม่น่าพิสมัย จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยแรกรุ่นและวัยอื่นๆ  ส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพและทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง

สำหรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกลิ่น “One and Only” ให้กลิ่นหอมหวานนุ่มละมุนที่โดดเด่นอย่างมีระดับจากดอกพีโอนี (Peony) จักรพรรดินีแห่งหมู่มวลดอกไม้ นอกจากความหอมที่เป็นเอกลักษ์ เนื้อครีมมีสัมผัสที่บางเบาไม่เหนียวเหนอะตัว แต่สามารถบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว ปรับสีผิวให้เรียบเนียนกระจ่างใส และมีกลิ่นหอมติดผิวยาวนานตลอดทั้งวัน สนใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์คลิกที่นี่ https://babbywing.com/th/product-category/skincare หรือสนใจสอบถามโปรโมชั่น พิเศษจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ได้ที่  [email protected] หรือส่ง Inbox ไปที่ https://www.facebook.com/Babbywing